ฟิล์มกรองแสงในโลกนี้มีการพัฒนามาอย่างยาวนานมากกว่า 30 ปี ผู้บริโภคในประเทศไทยจะคุ้นชินกับคำว่าฟิล์มปรอท ในช่วงแรกจนปัจจุบันจะคุ้นชินกับคำว่าฟิล์มเซรามิค เราจะมาทำความเข้าใจประเภทต่างๆ ของฟิล์มกรองแสงประเภทต่างๆ ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ฟิล์มกรองแสงเป็นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ทุกคันที่ต้องมี แล้วไม่สามารถที่จะข้ามไปได้ด้วยประโยชน์ของฟิล์มกรองแสงที่ให้คุณสมบัติในการป้องกันรังสียูวี การป้องกันความร้อน ให้ความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ขับขี่ และที่สำคัญสามารถช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับรถยนต์ตามรสนิยมของเจ้าของรถได้อีกด้วย แต่ในปัจจุบันฟิล์มกรองแสงมีให้เลือกมากกมายหมายแบรนด์ทั่งแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์ของคนไทยเอง นอกจากเลือกค่าความเข้มตามความคุ้นชินของคนไทย เช่น 40%, 60%, 80% เป็นต้น แล้วยังพบว่าราคาของฟิล์มกรองแสงแต่ละชนิดก็มีราคาที่แตกต่างกันแม้แต่ในแบรนด์เดียวกันก็มีหลากหลายรุ่นราคาตั้งแต่หลักพันต้นๆ ถึงหลักหมื่นต้นๆ
มาทำความรู้จักของประเภทของฟิล์มกรองแสง
ฟิล์มกรองแสงมีการพัฒนาเทคโลยีมามากกว่า 30 ปี จึงมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่หลากหลายและใช้วัสดุที่หลากหลายมาเคลือบบนแผ่นโพลีเอสเตอร์ ( PET ) เพื่อให้ได้คุณสมบัติในการป้องกันความร้อนและรังสียูวี ตามที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคต้องการ มาดูกันว่าฟิล์มกรองแสงตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสามารถแบ่งได้ ทั้งหมด 5 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ประเภทที่ 1 Dyed
Dyed หรือฟิล์มย้อมสีเป็นเทคนิคในการผลิตฟิล์มกรองแสงในยุคแรกๆ เพื่อจุดประสงค์คือการนำฟิล์มมาติดกับกระจกเพื่อลดแสงจ้าของแสงแดดเพื่อให้การขับขี่สบายขึ้นในเวลากลางวัน
จุดเด่น
- ช่วยลดแสงสว่างที่เข้ามาภายในรถยนต์
- มีราคาที่ค่อนข้างถูก
จุดด้อย
- ป้องกันความร้อนได้ต่ำ
- ไม่มีความทนทานต่อรังสียูวี
- เกิดการเสื่อมสภาพซีดจางได้ไวเมื่อใช้งานไประยะเวลาหนึ่ง
ประเภทที่ 2 Carbon
Carbon ในตลาดประเทศไทย ยังไม่ได้มีคำเรียกฟิล์มประเภทนี้อย่างชัดเจน แต่จะบางคนจะเข้าใจว่าคือฟิล์มเซรามิค ฟิล์มประเภทนี้มีการพัฒนาโดยการนำสารคาร์บอนมาเคลือบในชั้นฟิล์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดแสง
จุดเด่น
- มีความคงทนมากกว่าฟิล์มย้อมสี(Dyed)
- ให้สีที่ดำสนิทและมีความสามารถสะท้อนแสงที่ต่ำ
จุดด้อย
- ป้องกันความร้อนได้ต่ำ
- มีราคาสูงกว่าฟิล์มย้อมสี(Dyed)
- มีค่าแสงสว่างส่องผ่าน(VLT) น้อยกว่า 50%
ประเภทที่ 3 Metalized
Metalized หรือฟิล์มที่ใช่ส่วนผสมจากโลหะเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อน ให้กับฟิล์มได้มากกว่าฟิล์ม Carbon และ Dyed โดยมีกระบวนการผลิตที่หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือโลหะที่นำมาเคลือบลงในชั้นฟิล์มเช่น เทคนิคการระเหยของไอโลหะ และเทคนิคการ Sputtering ที่ใช้กระบวนการทำให้อะตอมของโลหะไปติดกับชั้นฟิล์มผ่านการเหนี่ยวนำของแม่เหล็ก วัตถุดิบที่ได้รับความนิยมมาใช้ในฟิล์มประเภทนี้ได้แก อลูมิเนียม, ทองแดง, ไทเทเนียม, เงิน, และทองคำ ทำให้ฟิล์มกลุ่มนี้มีราคาที่หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้และกระบวนการผลิตที่จะมีการทับซ้อนชั้นโลหะจำนวนกี่ชั้น
จุดเด่น
- ป้องกันความร้อนได้สูง ถึงแม้ฟิล์มจะมีแสงสว่างส่องผ่าน(VLT) มากกว่า 50%
จุดด้อย
- มีการผสมโลหะจำนวนมากเพื่อให้ประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่สูง
- ฟิล์มมีลักษณะเป็นกระจกเงาจนไม่สามารถติดตั้งในรถยนต์ได้ตามกฏหมายในบางประเทศ
- มีการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและราคาสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฟิล์ม ทำให้ราคาของฟิล์มมีราคาสูง
- ฟิล์มมีส่วนผสมของโลหะจะทำให้บล๊อคสัญญานอิเลคทรอนิคส์ต่างๆให้รับสัญญานได้น้อยลงหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ประเภทที่ 4 Ceramic
Ceramic หรือฟิล์มเซรามิคได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันจากการพัฒนาของเทคโนโลยีเพื่อหาวัสดุที่มาเคลือบบนชั้นฟิล์มเพื่อการป้องกันความร้อนและไม่บล๊อคสัญญานจากอุปกรณ์ต่างๆที่มีการใช้งานมากขึ้นในรถยนต์เช่นระบบนำทางในรถยนต์ และด้วยเทคโนโลยีได้รับความนิยมจากผู้ผลิตโดยเฉพาะในเอเชีย ทำให้มีการขยายตลาดอย่างรวดเร็วของแบรนด์ต่างๆที่สามารถสร้างแบรนด์ฟิล์มเซรามิคได้ง่าย
จุดเด่น
- ป้องกันความร้อนที่ดีในกลุ่มฟิล์มที่มีค่าความใสหรือมีค่า VLT น้อยกว่า 60%
- ราคาถูกจากการที่มีแหล่งผลิตที่หลากหลาย
- ไม่บล๊อคสัญญานอิเลคทรอนิคส์ต่างๆ
จุดด้อย
- ป้องกันความร้อนหากเทียบกับฟิล์ม Metalized ในรุ่นที่มี่าแสงสว่างส่องผ่านเท่ากัน
ประเภทที่ 5 Hybrid
Hybrid ฟิล์มไฮบริด คือกลุ่มฟิล์มที่มีการนำฟิล์มประเภทต่างๆ มาผสมทับซ้อนกันหลายชั้นเพื่อเสริมจุดเด่นหรือแก้จุดด้อยของฟิล์มต่าง เช่น
- ฟิล์ม Carbon + Metalized เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนของฟิล์ม Metalized แต่ให้มีค่าแสงสว่างสะท้อนน้อยลงและความทนทานที่สูงขึ้นจากชั้น Carbon
- ฟิล์ม Metalized + Ceramic เพื่อให้ฟิล์มมีประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่สูงขึ้น